วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Inception and kick-ass review

กลับมาอีกครั้งกับ movie review ช่วงหลังไม่ได้ดูหนังบ่อยๆ แถมหนังเก่าลืมรีวิวยังค้างสต๊อกอีกเพียบ!! วันนี้เลยจะมาสะสางเอาให้จบ มีบางเรื่องอาจจะดูไปนานแล้ว จำไม่ได้ก็เยอะ เรื่องไหนจำไม่ได้ก็ขอทำเป็นลืมๆไปละกัน
Inception
หลังสอบเสร็จก็ตั้งใจจะไปกินข้าวกับเพื่อนๆ remnant แต่ต้องขอบคุณอาจารย์ medicine ที่พร้อมใจจับเจี๊ยบไปอยู่เวร และมิ้นท์ไปราวด์เย็น(มาก) แผนเลยล่มซะงั้น เหลือแค่ขวัญกับบี เลยตัดสินใจไปดูหนังกัน
ไปโรงหนังแบบไม่ต้องคิดมาก เพราะหนังเรื่องนี้มันโดดเด่นกว่าหนังทุกเรื่อง ณ เวลานี้ และก็ไม่ผิดคาด ขอยกให้เป็นหนังดีออฟเดอะเยียร์ไปก่อนเลย แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมาแค่ครึ่งปีเอง
พลอทเรื่องดีมากถึงมากที่สุด ขอชมเชยว่ากว่าจะคิดพลอทนี้ออกมาได้ คงต้องเค้นเซลล์สมองออกมากันพักใหญ่ บางส่วนของหนังทำเกือบจะเหมือนให้คิดว่าเป็นไปได้ในชีวิตจริง เล่นเอาเด็กชอบนอนแล้วฝันทุกคืนอย่างเราเริ่มกลัวๆว่า เอ...ที่ฝันอยู่ทุกคืนนี่มันมีคนมาแทรกแทรงรึเปล่านะ หนังเหมือนจะเป็นหนังแอคชั่น เพราะมียิงกันเป็นระยะๆ ( หลังจากดูไปซักพัก ไม่รู้ว่าคนในโรงจะคิดเหมือนกันรึเปล่าว่า ทำไมคนในเรื่องมันยิงปืนกันแม่นจัง ฝั่งผู้ชายอาจจะพอถูไถไปได้ แต่ผู้หญิงที่เป็นแค่นักเรียนสถาปนิกทำไมยิงปืนนัดเดียวก็โดนเลยล่ะ พี่จะเก่งเกินไปแล้วนะ หรือว่าในฝัน ความสามารถมันจะเพิ่มขึ้นหรืออย่างไร สงสัยต้อง tweet ไปถามผู้กำกับหน่อยแล้วล่ะ ) แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะบางส่วนก็ออกแนวหนังชีวิตคิดม๊ากมากกกกก ดูไปนี่ห้ามหลุดเด็ดขาด ไม่งั้นอาจหลงทางได้ ขนาดดูแบบไม่หลุดแล้วบางทียังงงเลยว่า เอ๊ะ ยังไงนะ แต่การดำเนินเรื่องก็ค่อนข้างกระชับ ตรงประเด็น และมีให้ลุ้นตลอดเวลา โอกาสหลับคาเบาะอาจจะแบ่งตามบุคคลได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มคนชอบคิดตาม กลุ่มนี้รับรองว่าไม่หลับแน่ๆ มีอะไรให้คิดให้ลุ้นตลอดเรื่อง กลุ่มที่สองคือ กลุ่มอยากคิดตาม แต่ใจไม่ชอบเล้ย กลุ่มนี้โอกาสหลับคาโรงมีสูงมากกกกกก เพราะหนังไม่ได้แอคชั่นกันตลอดเรื่อง บางช่วงพระเอกก็เดินตามถนน เล่าเรื่องตัวเองไปเรื่อยๆ ใครไม่ชอบหรือสนใจที่มาของตัวละครแต่ละตัว คงได้หลับยาวแน่ แม้เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแอคชั่นผสม science-drama แต่หนังก็ไม่ลืมที่จะหยอดมุมตลกไว้ประปราย เรียกว่าโปรยไปทั่วๆ ทำให้คนดูปรับอารมณ์ให้ไม่เครียดเกินไปด้วย
หนังเรื่องนี้ต้องอาศัยความสร้างสรรค์ขั้นสูงสุดถึงจะได้พลอทขนาดนี้ออกมา ถ้าเทียบกันกับ avatar บอกได้ว่าอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะพลอทของ avatar ไม่ค่อยแปลกใหม่เท่าไหร่ ( แต่เรื่องจินตนาการภาพและโลกใบใหม่ที่เค้าสร้างขึ้นนั้น คงต้องยอมรับว่า avatar เจ๋งกว่า ) ตอนจบของเรื่องนี้ เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมาก เพราะปล่อยให้คนดูมึนงงต่อไปว่า ตกลงพระเอกของเรื่องออกมาจากโลกแห่งความฝันแล้วหรือยัง
หลังจากดูหนังจบ ทำให้คิดถึงคำคมๆคำนึงจากหนังสือลุงจิมมี่ ที่ว่า “ทำไมคนเราต้องรอให้หลับเสียก่อนถึงจะเริ่มฝันได้” ในโลกแห่งความฝัน เราคือพระเจ้า เราคือทุกสิ่งทุกอย่าง บางคนเลยเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ในความฝัน เลือกที่จะหลบความวุ่นวายทั้งหมดเข้าไปอยู่ในความฝัน มันไม่ผิดหรอกนะที่จะฝัน แต่สิ่งสำคัญคือการมีชีวิตอยู่บนความเป็นจริงต่างหาก living in the dream อาจเป็นเรื่องสวยงาม แต่ต้องไม่ลืมว่า มีเพียงคนที่ตื่นอยู่เท่านั้น ที่จะสามารถ living the dream ได้...



( เพิ่งสังเกตว่า ตัวเองชอบพาดพิงถึงดาราและตัวละครบ่อยๆ และในเรื่องนี้ก็รู้จักหลายคนเสียด้วย เลยเขียนแยกออกมาให้เป็นสัดเป็นส่วน คนอ่านที่อยากอ่านแต่เนื้อหาจะได้ข้ามบทส่วนนี้ไปง่ายๆ ส่วนคนที่อ่านไปเรื่อยๆ ส่วนนี้ก็อาจจะให้เกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับนักแสดงและบทวิจารณ์ตัวละครไปด้วยเลย )

ผู้กำกับ Christopher Nolan แม้ไม่ใช่นักแสดง แต่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ ตอนแรกที่ได้ยินชื่อก็คุ้นๆว่า คนนี้ต้องเคยกำกับหนังที่เราเคยดูมาก่อนแน่ๆเลย ซึ่งก็จริง เรื่องล่าสุดที่กำกับไปก็ dark knight ที่ขึ้นเท่นหนังดีไปเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าฝีมือกำกับและ produce เค้าดีจริงๆ ปกติจะไม่ค่อยได้สนใจว่าใครกำกับเวลาเลือกดูหนัง แต่หลังเห็นฝีมือพี่แกแล้ว คงต้องติดตามไปเรื่อยๆแล้วล่ะ ( ปัจจุบันคนที่ติดตามอยู่ก็มี Woody Allen คอหนังอินดี้คงรู้จักกัน, Steven Spielberg ที่ช่วงหลังๆจะแค่ produce และก็ดูฝีมือไม่อลังการเหมือนเก่า แต่ก็ยังหวังว่าจะสร้างหนังปรากฎการณ์ออกมาสู่ตลาดบ้าง, Jerry Bruckheimer ว่าจะถอดออกจากผังการเฝ้าติดตามแล้ว เพราะช่วงที่ผ่านมา ฝีมือขึ้นๆลงๆ อาจจะเพราะหนังถูกจำกัดขอบเขตบางอย่าง เลยปล่อยออกมาไม่ได้เต็มที่—อยากทำงานกับดิสนีย์ พี่ก็ต้องทำใจหน่อยนะ เพราะหนังให้เด็กดูนี่นา )
ลุง Leonardo DiCaprio ฝีมือการแสดงของเค้าเจ๋งจริงๆนะ ถ้าไม่คิดว่าลุงเค้าแก่มากแล้วจนบางทีก็อยากแนะนำให้เจียดเวลาสนใน global warming มาสนใจผิวหน้าตัวเองบ้าง คงไม่ทำให้โลกร้อนขึ้นกว่าเดิมมากเท่าไหร่ ในเรื่องนี้ การแสดงออกทางสีหน้าและหน้าตาถือว่าดีเยี่ยม ลองคิดว่าถ้าเอาทอม ครูซมาเล่น คงไม่อินเท่าไหร่ เพราะพี่ทอมคงยิ้มเตี้ยๆไปเรื่อยๆตลอดเรื่องตามประสาพี่เค้าอ่ะนะ และอาจจะเพราะช่วงหลังๆบทที่ลีโอฯ ได้มีแต่บทแนวนี้ ตั้งแต่ aviator ล่าสุดก็ shutter island ตอนดูในโรงนี่ลุ้นแทบแย่ว่าตอนจบของเรื่องจะโดนหักหลังเหมือนตอนดู shutter island รึเปล่า ปรากฎว่าไม่...โชคดีไป ไม่รู้ว่าเรื่องหน้าจะออกมาแบบไหนเหมือนกันนะ
Ellen Page หนังเรื่องแรกที่เห็น Page คือ เรื่อง x-men III ซึ่งคาดว่าหลายคนอาจจะจำเธอไม่ค่อยได้ เพราะไม่เด่นเท่ากล้ามของพี่ hugh Jackman เขา ใครอยากรู้ว่า page แสดงเป็นใครให้ลองไปค้นหาดูเอาเอง รับรองว่าไม่ยาก เพราะเธอไม่ใช่แค่นักแสดงรับเชิญกิ๊กก๊อกที่วิ่งผ่านไปผ่านมา แต่เรื่องที่หลายคนคงจำได้ คือเรื่อง Juno ใครได้ดูคงจำได้แน่ๆ ซึ่งคาดว่าคนที่ชอบเกาะกระแสออสการ์คงได้ดู เพราะ page เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำจากเรื่องนี้ด้วย แม้จะพลาดไปก็ตาม สำหรับเรื่องนี้ page เปลี่ยนบทบาทให้ตัวเองดูโตขึ้นมาหน่อยนึง แต่บางทีก็ขัดใจนิดๆที่บางมุมยังรู้สึกเหมือนเธอยังมีกลิ่นอายของJunoอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะมันคือลักษณะการพูดและท่าทางของเธอเองก็ได้มั้ง ผู้กำกับเลือกให้ตัวละคร Adriani (page ในเรื่อง ) เป็นคนกำความลับของพระเอกไว้ ซึ่งจากตัวละครในหนังก็ดูเหมาะสมที่สุด เพราะการให้เด็กผู้หญิงเป็นคนรู้เรื่องทุกอย่างดูซอฟต์กว่าและดูไม่เคอะเขินเท่าไหร่หากพระเอกต้องเล่าชีวิตเรื่องราวแสนเศร้าของเขากับภรรยาให้ฟัง
Joseph- Gordon levitt ขอกรี๊ดให้ 3 ทีดังๆ ด้วยความชอบคนนี้เป็นการส่วนตัว คาดว่าหลายคนอาจจะคุ้นหน้าบ้าง แต่ไม่ได้โดดเด่นจนเป็นนักแสดงแถวหน้าในหนังโรงฮอลลีวู้ดเท่าไหร่ เพราะพี่เค้าเลือกแสดงแต่หนังที่เห็นว่าบทดีเท่านั้น ไม่ได้แสดงกราดไปทั่ว งานแสดงเลยออกมาไม่เยอะ และส่วนใหญ่ที่แสดงก็เป็นหนังอินดี้กว่าครึ่ง ใครไม่ได้ชื่นชอบจริงๆหรือติดตามจริงๆคงไม่ได้ไปขวนขวายหามาดู บทบาทเรื่องนี้ของพี่เขาออกแนวตลกลึกๆ เป็นตัวสร้างสีสันให้หนังที่เครียดๆ คอยหยอดอารมณ์ตลกไปเรื่อยๆคู่กับตัวละครอีกตัวที่ชื่ออีมส์ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า หากใครอ่านถึงตรงนี้แล้วจะเข้าไปหาความตลกจากตัวละครในเรื่องนี้ ขอให้ถอยออกมาจากการต่อแถวซื้อตั๋วหนังด่วน เพราะมันมันไม่ใช่ ถึงแม้จะพูดเรื่องความตลกบ่อยๆ แต่เนื้อเรื่องไม่ใช่อย่างนั้นเลย ที่เขียนถึงบ่อยๆเพราะเห็นว่าหนังยังเก็บเอาส่วนต่างๆที่ควรเป็นอารมณ์ของหนังมาได้ครบถ้วนดีเท่านั้นเอง อ่ะ กลับมาต่อ ตัวละครที่พี่เค้าเล่นชื่อว่า Auther ดูเป็นคู่หูพระเอกมาแต่ไหนแต่ไร อาจจะดูเป็นตัวละครลึกลับ ไม่รู้ว่าเรียนอะไรมา หรือทำงานเป็นอะไรกันแน่ ดูไร้จุดประสงค์ที่ชัดเจนเหมือนตัวละครอื่นๆ แต่ก็เป็นตัวละครที่หลายคนชอบได้ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆของเรื่อง ขอบอกว่าเท่ห์มากกกกกกกก ไม่บอกละกันว่าทำอะไร แต่ดูแล้วใครไม่ชอบฉากนั้น ให้มาเตะคนเขียนได้ ( บอกว่าไม่ชอบนะ ไม่รวมความรู้สึกแบบ เฉยๆ แล้วไงนะ )

Kick-ass
หนังตลกดี ที่บางทีเหมือน Kill-Bill ไปหน่อย ตอนแรกที่เห็นยังงงว่า เอ๊ ทำไมหนังเรื่องนี้ได้ rate 18+ ล่ะ มันก็ดูเป็นเหมือนนังการ์ตูนบ้าๆบอๆนี่นา ดูเข้าจริงๆถึงเข้าใจว่าทำไมได้ 18+ เพราะมันฆ่ากันทีโหดๆนี่เอง

เนื่องจากหมดแรงจากการรีวิว Inception บวกกับจำเนื้อหาเรื่องอื่นๆไม่ค่อยได้ และคิดไม่ออกด้วยว่าที่ผ่านมาดูเรื่องอะไรไปมั่ง เลยขอจบการรีวิวไว้แค่นี้ วันหลังจะมารีวิวอะไรที่สดใหม่กว่านี้ละกัน ถ้าเจียดเวลาและหาคนไปดูหนังเป็นเพื่อนได้น่ะนะ

Movie Review after a long time no see

หลังจากห่างหายจากการเขียนรีวิวหนังไปนานเพราะเรื่องยุ่งๆในชีวิต เราก็กลับมาอีกครั้งพร้อมหนัง ( ใหม่บ้างเก่าบ้าง ) จำนวนมาก มากกว่าการรีวิวครั้งเดียวทีละเรื่อง เพราะวันนี้เราจะมารีวิวทีพร้อมกันถึง 4 เรื่องด้วยกัน เนื่องด้วยสถาณการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ บวกกับช่วงปิดเทอมแสนกร่อยที่ผ่านมา ทำให้ต้องไปหาหนังมาดูอย่างเร่งด่วน บางเรื่องถึงกับดูไป 2 รอบติดกันภายในอาทิตย์เดียว ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่เพราะไม่มีเวลาไปโรงหนัง ( ซึ่งโรงหลักๆที่นิยมไปดูก็ถูกปิดเพราะกลุ่มคนเสื้อแดงที่กลายพันธุ์เป็นเสื้อสีตามใจฉันไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเรียบร้อย แต่ก็ยังอุตส่าห์คงคอนเซ็ปปิดห้างอยู่เหมือนเดิม ) นั่นเอง เอาล่ะมาดูรีวิวดีกว่า บ่นไปก็ไร้ประโยชน์
(500) days of summer
หนังอินดี้ที่หาดูไม่ได้ตามโรงหนังทั่วไป ถ้าอยากดูโรง ต้องดูที่สกาล่า House RCA หรือลิโด้เท่านั้น แล้วทำไมได้ดูล่ะ? ต้องขอบคุณพี่เต๋อ นวพลที่ทำรีวิวเอาไว้ ( ใครสนใจอยากอ่านรีวิวแบบคนดูหนังจริงจัง ไปตามอ่านได้ในอะเดย์ซักเล่ม คอลัมน์พี่เค้าเจ๋งจริงๆนะ ไม่ได้โฆษณาแต่อย่างใด ) เลยไปออกตามหาแผ่นหนังเรื่องนี้ด้วยความอยากดู เพราะนอกจากจะดูเป็นหนังดี แถมยังโปรโมทว่า “ This is not a love story “ ด้วย ประกอบกับนางเอกตาโตที่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเล่นเรื่องอะไรมั่ง รู้แค่ชอบ เลยไปซื้อมาดูจนได้
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องได้...งงๆ... ดูไปตอนแรกๆอาจจะงงๆกับหนังว่า ตกลงมันจะเอายังไงกันแน่เนี่ย ฉายกระโดดไปกระโดดมา ตามไม่ทัน แต่พอดูไปซักพักก็ปรับตัวเข้าได้ ด้วยการเลิกสนใจว่าหนังกำลังบอกว่าตอนนี้เป็นวันที่เท่าไหร่ แต่สนใจในเนื้อเรื่องมากกว่า เนื้อเรื่องลื่นไหลไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีจุดพีค จุดพลิกของเรื่องเท่าไหร่ เพราะหนังมันกระโดดไปๆมาๆ จุดที่สมควรจะพีค( หากเรื่องดำเนินตามเวลาอย่างหนังปุถุชนเค้าทำกัน ) มันออกมาอยู่ข้างหน้าตอนเปิดเรื่องไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงหนังจะไม่มีจุดพีค พอปลายๆเรื่องก็กลับตื่นเต้น ลุ้น แล้วก็พลิกเรื่องให้คนดูประหลาดใจได้ไม่มากก็น้อย ปกติถ้าดูหนังรักคนเดียวฉันร้องไห้ เรียกว่าสนองความต้องการคนสร้างหนังได้แทบจะทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ ไม่ร้อง สมแล้วที่เค้าประกาศตนว่า this is not a love story แม้ไม่มีน้ำตาไหลพรากๆลงมา แต่กลับได้อารมณ์ของความอิ่มใจ อมยิ้ม อะไรก็ตามที่คนดูหนังรักน่าจะชอบกัน ฉากที่ชอบที่สุดคือตอนท้ายๆของเรื่องที่ summer กับ tom มาเจอกันอีกครั้งที่สวนสาธารณะแล้วพูดถึงเรื่อง destiny มันไม่ใช่ฉากจบแบบ happy ending แบบที่คาดหวังกันเอาไว้ แต่มันก็ช่วยสะท้อนความจริงหลายๆอย่างได้ ดูเป็นฉากจบที่ realistic และให้ข้อคิดดีๆกับทุกคน ทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อใน destiny ไม่ว่าคุณจะเป็นตัวแทนฝั่ง summer หรือฝั่ง tom เชื่อว่านี่จะเป็นหนังอีกเรื่องที่คุณจะชอบมัน
ปล.อ่านเจอ ( หลังดูหนังจบไปแล้วเกือบเดือน ) มีคนบอกว่าพระเอกหน้าเหมือน heath ledger ก็เลยรีบกลับไปเปิดดูใหม่...เค้าเหมือนอยู่นะ เพียงแต่เป็นฮีทเวอร์ชั่นแห้งๆก้างๆ ขืนเอาไปแสดงสู้กับแบทแมนคงตายตั้งแต่ออกโรง คงอีกนานกว่าจะผันตัวไปเล่นหนังบู๊ตามพี่ฮีทเค้า
The princess and the frog
เนื่องจากเป็นการ์ตูน walt Disney จึงเป็นเหมือนหน้าที่อย่างหนึ่งที่ฉันต้องหามาดูโดยไม่ต้องอาศัยแรงจูงใจหรือคำบอกเล่าใดๆ การ์ตูนเรื่องนี้เพิ่งเข้าโรงไปไม่นานในไทย แต่ได้ดูล่วงหน้าก่อนเข้าไทยประมาณเดือนกว่าๆได้มั้ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพอเป็นการ์ตูนทีไร เมืองไทยชอบเข้าช้ากว่าที่อเมริกาอยู่เรื่อย โรงหนังไทยเลยอดกินเงินประจำ
เป็นเวลานานโขอยู่ที่ดิสนีย์ไม่ได้ผลิตหนังประเภท princess ออกมา เรื่องนี้นอกจากจะพิเศษด้วยการเป็น princess แล้ว ยังพิเศษด้วยที่เจ้าหญิงเจ้าชายในเรื่องเป็นคนผิวคล้ำ ซึ่งดูเป็นเรื่องดีที่เริ่มมีความหลากหลายในการ์ตูน เผื่อคอลเล็คชั่นหน้าจะออกมาเป็นเจ้าหญิงเอเชียบ้าง ใครจะรู้
เนื้อเรื่องโดยรวมถือว่าน่ารักสมกับเป็นการ์ตูนดิสนีย์ แม้เรื่องราวจะไม่ได้ใกล้เคียงกับเจ้าหญิงเท่าไหร่ แต่ก็ให้ข้อคิดหลายๆอย่างกับคนดูได้ และด้วยความเป็นการ์ตูนดิสนีย์ เพลงประกอบเลยเพราะ นั่งฟังเพลินๆ ดูไปยิ้มไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก โครงเรื่องก็พอเดาได้ (ก็นี่มันหนังดิสนีย์นี่นะ) คนที่ชอบหนังประเภทต้องลุ้นหรือสนุกตื่นเต้น แนะนำให้งดเว้นหนังเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด แต่หากใครชอบดูหนังเบาๆ สบายๆ ไปนั่งฟังเพลง ดูหิ่งห้อย จระเข้ กบเขียดเต้นรำร่วมชั่วโมงจะขอให้แนะนำไปดูอย่างยิ่ง
โดยส่วนตัว ไม่ได้มีอคติอะไรกับการ์ตูนใสๆน่ารักๆแบบฉบับของดิสนีย์เท่าไหร่ แม้โตมาจะเริ่มรู้สึกว่าพลอทมันเหมือนเดิมแสนจำเจ แต่ฉันว่าหนังพวกนี้มีส่วนดีที่โลกภาพยนตร์จะขาดไปไม่ได้ เพราะมันคือหนังสำหรับเด็ก หนังที่ขายความฝันให้เด็กๆ แม้โตมา เด็กกว่า 90% จะผิดหวังกับความฝันจากนิยายขายฝันพวกนี้ (ยกเว้นคุณคือปารีส ฮิลตัน) แต่อย่างน้อยสิ่งสวยงามในวัยเด็กย่อมดีกว่าความทุกข์เสมอ..ไม่ใช่หรือ?
Iron man II
วันนั้นเดินเข้าโรงหนังด้วยความงุนงงมากที่สุดในรอบปี เนื่องจากตั้งใจจะฝ่าวิกฤตคนเสื้อแดงไปมาบุญครองเพื่อไปดูเรื่อง Date night แต่เนื่องจากกลัวระเบิดนานไปหน่อย หนังมันเลยออกจากโรงไปได้อาทิตย์นึงแล้ว แต่ด้วยความเสียดายค่าน้ำมัน มาแล้วไหนๆก็ต้องเสียตังก์ดูหนังตามความประสงค์ของพระเจ้าให้ได้ เลยยืนเก้ๆกังๆเลือกหนังเอาตรงนั้นเลย ด้วยความที่ถือคติว่า จะไม่ดูหนังไทย โดยเฉพาะหนังไทยที่โปรโมทเยอะๆและมักจะห่วย เอาจุดดีของหนังมาโปรโมทในทีวี แล้วให้ประชาชนคนรักหนังอย่างฉันจ่ายเงินไปดูส่วนห่วยๆเหล่านั้นต่อไป อีกทั้งบางเรื่องไม่ค่อยคุ้มทุนจะตีตั๋วดูในโรงเท่าไหร่ ตัวเลือกการดูหนังวันนั้นเลยเหลือน้อย...มาก!! หลังจากตัดหนังไทยออกจากสารบบแล้ว หนังต่างประเทศที่เหลือกลับมีแต่หนังผี ซึ่งเป็นหนังที่ถือคติไว้ว่าจะไม่ดูเหมือนกัน เพราะผีฝรั่ง แต่พี่เค้าชอบทำแบบมืดๆ มือยื่นมาแบบมืดๆ ทุกอย่างมาเป็นเงาๆ เอาให้ตกใจเป็นพักๆ ในฐานะที่เป็นคนจิตใจไม่ค่อยแข็งแรงและทนไม่ได้กับการไม่รู้ว่าตกลงมันผีหรือโจรมุมตึก ฉันเลยเอาตัวออกห่างจากหนังประภทนี้มาหลายปี
ตัวเลือกที่ดีที่สุดวันนั้นคือ Iron man II ย้ำว่าดีที่สุดของวันนั้น มันไม่ดีที่สุดเฉยๆเพราะฉันยังไม่ได้ดูภาค 1 เลยด้วยซ้ำไป
และด้วยความที่ไม่ได้ดูภาค 1 มาก่อน อาจรีวิวงงๆไปบ้าง อย่าได้ว่ากัน
อาจเรียกได้ว่าไม่ค่อยต่างจากหนัง superhero ฉบับของ Marvel comics เท่าไหร่ แอคชั่นสนุกดี ดูเตะๆต่อยๆไปๆมาๆ ก็จบเรื่อง ได้ความบันเทิงมาเต็มเปี่ยม เรียกว่าได้ทุกอย่างครบตามความต้องการที่ควรจะเป็น แต่ที่โดดเด่นกว่าเรื่องSuperhero อันอื่นคือ ท่าน Tony Stark เป็นฮีโร่ที่กากและเท่ห์มาก ต่างจากบรูซ เวย์นที่จะดูทึมๆหม่นๆ ดูมีอันจะกินแบบคุณหนูมากกว่า อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล จะไม่ขอขยายความเรื่องนี้ต่อละกัน
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้จบท้าย ยังไง Iron man ก็ชนะอยู่ดี ความลุ้นเลยอาจจะลดไปบ้าง คนที่จะไปดูก็ด็ effect ดู action ไปก็น่าจะอิ่มแล้วล่ะ เก็บไว้ดูคลายเครียดละกัน เพราะมันก็ตลกบ้างเป็นพักๆ เป็น action comedy ได้เลยนะเนี่ย

หลังจากไปดูภาค 1 มาแล้ว พบว่าภาค 1 เนื้อหาเหมือนจะดีกว่า แต่ชอบภาค 2 มากกว่า เพราะมี Scarlette Johanson เล่นด้วย แต่อาจจะชอบกว่าไม่มาก เพราะเพื่อนพระเอกที่เป็นทหารเปลี่ยนจาก Cuba Gooding Jr. มาเป็นใครก็ไม่รู้ ดูผอมๆแห้งๆ มันค่อยให้ลุคเป็นทหารเท่าไหร่ ( เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย?? )

Did you hear about the Morgan?
ไม่ได้มีความอยากดูเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว จะปล่อยค้างไว้ให้เปลืองเงินเล่นๆก็กระไรอยู่ เลยต้องหยิบขึ้นมาดูซักหน่อย
ก็เหมือนหนังรักทั่วไป ไม่ได้สื่ออะไรเท่าไหร่ แต่หนังสร้างสถานการณ์ดีตรงที่จับคู่แต่งงานที่มีปัญหากัน ไปอยู่บ้านนอกคอกนาด้วยกัน เรียกว่าไปมีชีวิตลำบากลำบนด้วยกัน เนื้อเรื่องเดินไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องตลกๆของ 2 สามีภรรยาที่ต้องออกไปผจญภัย ณ บ้านนาด้วยกัน แต่ที่อยากให้สังเกต คือ การที่เราจะเห็นคุณค่าใครซักคน หรือรู้ว่าควรเอาใจใส่ใครซักคน มันดูยากเย็นในชีวิตจริง ต้องรอให้จะเสียฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป หรือไม่ก็ต้องไปเจอเรื่องร้ายๆด้วยกันก่อนถึงจะรู้ว่าเราลืมทำสิ่งดีดีให้คนข้างๆเราหรือเปล่า ดังนั้น ใครที่มีคนสำคัญอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนรัก เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว ก็อย่าลืมทำดีกับเค้าให้มากๆ ก่อนที่จะไม่เหลือเวลาหรือโอกาสให้บอกรักพวกเค้าละกันนะ