หลังจากห่างหายจากการเขียนรีวิวหนังไปนานเพราะเรื่องยุ่งๆในชีวิต เราก็กลับมาอีกครั้งพร้อมหนัง ( ใหม่บ้างเก่าบ้าง ) จำนวนมาก มากกว่าการรีวิวครั้งเดียวทีละเรื่อง เพราะวันนี้เราจะมารีวิวทีพร้อมกันถึง 4 เรื่องด้วยกัน เนื่องด้วยสถาณการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ บวกกับช่วงปิดเทอมแสนกร่อยที่ผ่านมา ทำให้ต้องไปหาหนังมาดูอย่างเร่งด่วน บางเรื่องถึงกับดูไป 2 รอบติดกันภายในอาทิตย์เดียว ไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษ แต่เพราะไม่มีเวลาไปโรงหนัง ( ซึ่งโรงหลักๆที่นิยมไปดูก็ถูกปิดเพราะกลุ่มคนเสื้อแดงที่กลายพันธุ์เป็นเสื้อสีตามใจฉันไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาเรียบร้อย แต่ก็ยังอุตส่าห์คงคอนเซ็ปปิดห้างอยู่เหมือนเดิม ) นั่นเอง เอาล่ะมาดูรีวิวดีกว่า บ่นไปก็ไร้ประโยชน์
(500) days of summer
หนังอินดี้ที่หาดูไม่ได้ตามโรงหนังทั่วไป ถ้าอยากดูโรง ต้องดูที่สกาล่า House RCA หรือลิโด้เท่านั้น แล้วทำไมได้ดูล่ะ? ต้องขอบคุณพี่เต๋อ นวพลที่ทำรีวิวเอาไว้ ( ใครสนใจอยากอ่านรีวิวแบบคนดูหนังจริงจัง ไปตามอ่านได้ในอะเดย์ซักเล่ม คอลัมน์พี่เค้าเจ๋งจริงๆนะ ไม่ได้โฆษณาแต่อย่างใด ) เลยไปออกตามหาแผ่นหนังเรื่องนี้ด้วยความอยากดู เพราะนอกจากจะดูเป็นหนังดี แถมยังโปรโมทว่า “ This is not a love story “ ด้วย ประกอบกับนางเอกตาโตที่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าเล่นเรื่องอะไรมั่ง รู้แค่ชอบ เลยไปซื้อมาดูจนได้
หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องได้...งงๆ... ดูไปตอนแรกๆอาจจะงงๆกับหนังว่า ตกลงมันจะเอายังไงกันแน่เนี่ย ฉายกระโดดไปกระโดดมา ตามไม่ทัน แต่พอดูไปซักพักก็ปรับตัวเข้าได้ ด้วยการเลิกสนใจว่าหนังกำลังบอกว่าตอนนี้เป็นวันที่เท่าไหร่ แต่สนใจในเนื้อเรื่องมากกว่า เนื้อเรื่องลื่นไหลไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีจุดพีค จุดพลิกของเรื่องเท่าไหร่ เพราะหนังมันกระโดดไปๆมาๆ จุดที่สมควรจะพีค( หากเรื่องดำเนินตามเวลาอย่างหนังปุถุชนเค้าทำกัน ) มันออกมาอยู่ข้างหน้าตอนเปิดเรื่องไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงหนังจะไม่มีจุดพีค พอปลายๆเรื่องก็กลับตื่นเต้น ลุ้น แล้วก็พลิกเรื่องให้คนดูประหลาดใจได้ไม่มากก็น้อย ปกติถ้าดูหนังรักคนเดียวฉันร้องไห้ เรียกว่าสนองความต้องการคนสร้างหนังได้แทบจะทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ ไม่ร้อง สมแล้วที่เค้าประกาศตนว่า this is not a love story แม้ไม่มีน้ำตาไหลพรากๆลงมา แต่กลับได้อารมณ์ของความอิ่มใจ อมยิ้ม อะไรก็ตามที่คนดูหนังรักน่าจะชอบกัน ฉากที่ชอบที่สุดคือตอนท้ายๆของเรื่องที่ summer กับ tom มาเจอกันอีกครั้งที่สวนสาธารณะแล้วพูดถึงเรื่อง destiny มันไม่ใช่ฉากจบแบบ happy ending แบบที่คาดหวังกันเอาไว้ แต่มันก็ช่วยสะท้อนความจริงหลายๆอย่างได้ ดูเป็นฉากจบที่ realistic และให้ข้อคิดดีๆกับทุกคน ทั้งที่เชื่อและไม่เชื่อใน destiny ไม่ว่าคุณจะเป็นตัวแทนฝั่ง summer หรือฝั่ง tom เชื่อว่านี่จะเป็นหนังอีกเรื่องที่คุณจะชอบมัน
ปล.อ่านเจอ ( หลังดูหนังจบไปแล้วเกือบเดือน ) มีคนบอกว่าพระเอกหน้าเหมือน heath ledger ก็เลยรีบกลับไปเปิดดูใหม่...เค้าเหมือนอยู่นะ เพียงแต่เป็นฮีทเวอร์ชั่นแห้งๆก้างๆ ขืนเอาไปแสดงสู้กับแบทแมนคงตายตั้งแต่ออกโรง คงอีกนานกว่าจะผันตัวไปเล่นหนังบู๊ตามพี่ฮีทเค้า
The princess and the frog
เนื่องจากเป็นการ์ตูน walt Disney จึงเป็นเหมือนหน้าที่อย่างหนึ่งที่ฉันต้องหามาดูโดยไม่ต้องอาศัยแรงจูงใจหรือคำบอกเล่าใดๆ การ์ตูนเรื่องนี้เพิ่งเข้าโรงไปไม่นานในไทย แต่ได้ดูล่วงหน้าก่อนเข้าไทยประมาณเดือนกว่าๆได้มั้ง ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพอเป็นการ์ตูนทีไร เมืองไทยชอบเข้าช้ากว่าที่อเมริกาอยู่เรื่อย โรงหนังไทยเลยอดกินเงินประจำ
เป็นเวลานานโขอยู่ที่ดิสนีย์ไม่ได้ผลิตหนังประเภท princess ออกมา เรื่องนี้นอกจากจะพิเศษด้วยการเป็น princess แล้ว ยังพิเศษด้วยที่เจ้าหญิงเจ้าชายในเรื่องเป็นคนผิวคล้ำ ซึ่งดูเป็นเรื่องดีที่เริ่มมีความหลากหลายในการ์ตูน เผื่อคอลเล็คชั่นหน้าจะออกมาเป็นเจ้าหญิงเอเชียบ้าง ใครจะรู้
เนื้อเรื่องโดยรวมถือว่าน่ารักสมกับเป็นการ์ตูนดิสนีย์ แม้เรื่องราวจะไม่ได้ใกล้เคียงกับเจ้าหญิงเท่าไหร่ แต่ก็ให้ข้อคิดหลายๆอย่างกับคนดูได้ และด้วยความเป็นการ์ตูนดิสนีย์ เพลงประกอบเลยเพราะ นั่งฟังเพลินๆ ดูไปยิ้มไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก โครงเรื่องก็พอเดาได้ (ก็นี่มันหนังดิสนีย์นี่นะ) คนที่ชอบหนังประเภทต้องลุ้นหรือสนุกตื่นเต้น แนะนำให้งดเว้นหนังเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด แต่หากใครชอบดูหนังเบาๆ สบายๆ ไปนั่งฟังเพลง ดูหิ่งห้อย จระเข้ กบเขียดเต้นรำร่วมชั่วโมงจะขอให้แนะนำไปดูอย่างยิ่ง
โดยส่วนตัว ไม่ได้มีอคติอะไรกับการ์ตูนใสๆน่ารักๆแบบฉบับของดิสนีย์เท่าไหร่ แม้โตมาจะเริ่มรู้สึกว่าพลอทมันเหมือนเดิมแสนจำเจ แต่ฉันว่าหนังพวกนี้มีส่วนดีที่โลกภาพยนตร์จะขาดไปไม่ได้ เพราะมันคือหนังสำหรับเด็ก หนังที่ขายความฝันให้เด็กๆ แม้โตมา เด็กกว่า 90% จะผิดหวังกับความฝันจากนิยายขายฝันพวกนี้ (ยกเว้นคุณคือปารีส ฮิลตัน) แต่อย่างน้อยสิ่งสวยงามในวัยเด็กย่อมดีกว่าความทุกข์เสมอ..ไม่ใช่หรือ?
Iron man II
วันนั้นเดินเข้าโรงหนังด้วยความงุนงงมากที่สุดในรอบปี เนื่องจากตั้งใจจะฝ่าวิกฤตคนเสื้อแดงไปมาบุญครองเพื่อไปดูเรื่อง Date night แต่เนื่องจากกลัวระเบิดนานไปหน่อย หนังมันเลยออกจากโรงไปได้อาทิตย์นึงแล้ว แต่ด้วยความเสียดายค่าน้ำมัน มาแล้วไหนๆก็ต้องเสียตังก์ดูหนังตามความประสงค์ของพระเจ้าให้ได้ เลยยืนเก้ๆกังๆเลือกหนังเอาตรงนั้นเลย ด้วยความที่ถือคติว่า จะไม่ดูหนังไทย โดยเฉพาะหนังไทยที่โปรโมทเยอะๆและมักจะห่วย เอาจุดดีของหนังมาโปรโมทในทีวี แล้วให้ประชาชนคนรักหนังอย่างฉันจ่ายเงินไปดูส่วนห่วยๆเหล่านั้นต่อไป อีกทั้งบางเรื่องไม่ค่อยคุ้มทุนจะตีตั๋วดูในโรงเท่าไหร่ ตัวเลือกการดูหนังวันนั้นเลยเหลือน้อย...มาก!! หลังจากตัดหนังไทยออกจากสารบบแล้ว หนังต่างประเทศที่เหลือกลับมีแต่หนังผี ซึ่งเป็นหนังที่ถือคติไว้ว่าจะไม่ดูเหมือนกัน เพราะผีฝรั่ง แต่พี่เค้าชอบทำแบบมืดๆ มือยื่นมาแบบมืดๆ ทุกอย่างมาเป็นเงาๆ เอาให้ตกใจเป็นพักๆ ในฐานะที่เป็นคนจิตใจไม่ค่อยแข็งแรงและทนไม่ได้กับการไม่รู้ว่าตกลงมันผีหรือโจรมุมตึก ฉันเลยเอาตัวออกห่างจากหนังประภทนี้มาหลายปี
ตัวเลือกที่ดีที่สุดวันนั้นคือ Iron man II ย้ำว่าดีที่สุดของวันนั้น มันไม่ดีที่สุดเฉยๆเพราะฉันยังไม่ได้ดูภาค 1 เลยด้วยซ้ำไป
และด้วยความที่ไม่ได้ดูภาค 1 มาก่อน อาจรีวิวงงๆไปบ้าง อย่าได้ว่ากัน
อาจเรียกได้ว่าไม่ค่อยต่างจากหนัง superhero ฉบับของ Marvel comics เท่าไหร่ แอคชั่นสนุกดี ดูเตะๆต่อยๆไปๆมาๆ ก็จบเรื่อง ได้ความบันเทิงมาเต็มเปี่ยม เรียกว่าได้ทุกอย่างครบตามความต้องการที่ควรจะเป็น แต่ที่โดดเด่นกว่าเรื่องSuperhero อันอื่นคือ ท่าน Tony Stark เป็นฮีโร่ที่กากและเท่ห์มาก ต่างจากบรูซ เวย์นที่จะดูทึมๆหม่นๆ ดูมีอันจะกินแบบคุณหนูมากกว่า อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล จะไม่ขอขยายความเรื่องนี้ต่อละกัน
อย่างที่บอกว่าเรื่องนี้จบท้าย ยังไง Iron man ก็ชนะอยู่ดี ความลุ้นเลยอาจจะลดไปบ้าง คนที่จะไปดูก็ด็ effect ดู action ไปก็น่าจะอิ่มแล้วล่ะ เก็บไว้ดูคลายเครียดละกัน เพราะมันก็ตลกบ้างเป็นพักๆ เป็น action comedy ได้เลยนะเนี่ย
หลังจากไปดูภาค 1 มาแล้ว พบว่าภาค 1 เนื้อหาเหมือนจะดีกว่า แต่ชอบภาค 2 มากกว่า เพราะมี Scarlette Johanson เล่นด้วย แต่อาจจะชอบกว่าไม่มาก เพราะเพื่อนพระเอกที่เป็นทหารเปลี่ยนจาก Cuba Gooding Jr. มาเป็นใครก็ไม่รู้ ดูผอมๆแห้งๆ มันค่อยให้ลุคเป็นทหารเท่าไหร่ ( เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย?? )
Did you hear about the Morgan?
ไม่ได้มีความอยากดูเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่ไหนๆก็ซื้อมาแล้ว จะปล่อยค้างไว้ให้เปลืองเงินเล่นๆก็กระไรอยู่ เลยต้องหยิบขึ้นมาดูซักหน่อย
ก็เหมือนหนังรักทั่วไป ไม่ได้สื่ออะไรเท่าไหร่ แต่หนังสร้างสถานการณ์ดีตรงที่จับคู่แต่งงานที่มีปัญหากัน ไปอยู่บ้านนอกคอกนาด้วยกัน เรียกว่าไปมีชีวิตลำบากลำบนด้วยกัน เนื้อเรื่องเดินไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องตลกๆของ 2 สามีภรรยาที่ต้องออกไปผจญภัย ณ บ้านนาด้วยกัน แต่ที่อยากให้สังเกต คือ การที่เราจะเห็นคุณค่าใครซักคน หรือรู้ว่าควรเอาใจใส่ใครซักคน มันดูยากเย็นในชีวิตจริง ต้องรอให้จะเสียฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป หรือไม่ก็ต้องไปเจอเรื่องร้ายๆด้วยกันก่อนถึงจะรู้ว่าเราลืมทำสิ่งดีดีให้คนข้างๆเราหรือเปล่า ดังนั้น ใครที่มีคนสำคัญอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นคนรัก เพื่อน พี่น้อง ครอบครัว ก็อย่าลืมทำดีกับเค้าให้มากๆ ก่อนที่จะไม่เหลือเวลาหรือโอกาสให้บอกรักพวกเค้าละกันนะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น