Inception
หลังสอบเสร็จก็ตั้งใจจะไปกินข้าวกับเพื่อนๆ remnant แต่ต้องขอบคุณอาจารย์ medicine ที่พร้อมใจจับเจี๊ยบไปอยู่เวร และมิ้นท์ไปราวด์เย็น(มาก) แผนเลยล่มซะงั้น เหลือแค่ขวัญกับบี เลยตัดสินใจไปดูหนังกัน
ไปโรงหนังแบบไม่ต้องคิดมาก เพราะหนังเรื่องนี้มันโดดเด่นกว่าหนังทุกเรื่อง ณ เวลานี้ และก็ไม่ผิดคาด ขอยกให้เป็นหนังดีออฟเดอะเยียร์ไปก่อนเลย แม้ว่าตอนนี้จะผ่านมาแค่ครึ่งปีเอง
พลอทเรื่องดีมากถึงมากที่สุด ขอชมเชยว่ากว่าจะคิดพลอทนี้ออกมาได้ คงต้องเค้นเซลล์สมองออกมากันพักใหญ่ บางส่วนของหนังทำเกือบจะเหมือนให้คิดว่าเป็นไปได้ในชีวิตจริง เล่นเอาเด็กชอบนอนแล้วฝันทุกคืนอย่างเราเริ่มกลัวๆว่า เอ...ที่ฝันอยู่ทุกคืนนี่มันมีคนมาแทรกแทรงรึเปล่านะ หนังเหมือนจะเป็นหนังแอคชั่น เพราะมียิงกันเป็นระยะๆ ( หลังจากดูไปซักพัก ไม่รู้ว่าคนในโรงจะคิดเหมือนกันรึเปล่าว่า ทำไมคนในเรื่องมันยิงปืนกันแม่นจัง ฝั่งผู้ชายอาจจะพอถูไถไปได้ แต่ผู้หญิงที่เป็นแค่นักเรียนสถาปนิกทำไมยิงปืนนัดเดียวก็โดนเลยล่ะ พี่จะเก่งเกินไปแล้วนะ หรือว่าในฝัน ความสามารถมันจะเพิ่มขึ้นหรืออย่างไร สงสัยต้อง tweet ไปถามผู้กำกับหน่อยแล้วล่ะ ) แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะบางส่วนก็ออกแนวหนังชีวิตคิดม๊ากมากกกกก ดูไปนี่ห้ามหลุดเด็ดขาด ไม่งั้นอาจหลงทางได้ ขนาดดูแบบไม่หลุดแล้วบางทียังงงเลยว่า เอ๊ะ ยังไงนะ แต่การดำเนินเรื่องก็ค่อนข้างกระชับ ตรงประเด็น และมีให้ลุ้นตลอดเวลา โอกาสหลับคาเบาะอาจจะแบ่งตามบุคคลได้เป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มคนชอบคิดตาม กลุ่มนี้รับรองว่าไม่หลับแน่ๆ มีอะไรให้คิดให้ลุ้นตลอดเรื่อง กลุ่มที่สองคือ กลุ่มอยากคิดตาม แต่ใจไม่ชอบเล้ย กลุ่มนี้โอกาสหลับคาโรงมีสูงมากกกกกก เพราะหนังไม่ได้แอคชั่นกันตลอดเรื่อง บางช่วงพระเอกก็เดินตามถนน เล่าเรื่องตัวเองไปเรื่อยๆ ใครไม่ชอบหรือสนใจที่มาของตัวละครแต่ละตัว คงได้หลับยาวแน่ แม้เนื้อเรื่องส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องแอคชั่นผสม science-drama แต่หนังก็ไม่ลืมที่จะหยอดมุมตลกไว้ประปราย เรียกว่าโปรยไปทั่วๆ ทำให้คนดูปรับอารมณ์ให้ไม่เครียดเกินไปด้วย
หนังเรื่องนี้ต้องอาศัยความสร้างสรรค์ขั้นสูงสุดถึงจะได้พลอทขนาดนี้ออกมา ถ้าเทียบกันกับ avatar บอกได้ว่าอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะพลอทของ avatar ไม่ค่อยแปลกใหม่เท่าไหร่ ( แต่เรื่องจินตนาการภาพและโลกใบใหม่ที่เค้าสร้างขึ้นนั้น คงต้องยอมรับว่า avatar เจ๋งกว่า ) ตอนจบของเรื่องนี้ เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดมาก เพราะปล่อยให้คนดูมึนงงต่อไปว่า ตกลงพระเอกของเรื่องออกมาจากโลกแห่งความฝันแล้วหรือยัง
หลังจากดูหนังจบ ทำให้คิดถึงคำคมๆคำนึงจากหนังสือลุงจิมมี่ ที่ว่า “ทำไมคนเราต้องรอให้หลับเสียก่อนถึงจะเริ่มฝันได้” ในโลกแห่งความฝัน เราคือพระเจ้า เราคือทุกสิ่งทุกอย่าง บางคนเลยเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ในความฝัน เลือกที่จะหลบความวุ่นวายทั้งหมดเข้าไปอยู่ในความฝัน มันไม่ผิดหรอกนะที่จะฝัน แต่สิ่งสำคัญคือการมีชีวิตอยู่บนความเป็นจริงต่างหาก living in the dream อาจเป็นเรื่องสวยงาม แต่ต้องไม่ลืมว่า มีเพียงคนที่ตื่นอยู่เท่านั้น ที่จะสามารถ living the dream ได้...

( เพิ่งสังเกตว่า ตัวเองชอบพาดพิงถึงดาราและตัวละครบ่อยๆ และในเรื่องนี้ก็รู้จักหลายคนเสียด้วย เลยเขียนแยกออกมาให้เป็นสัดเป็นส่วน คนอ่านที่อยากอ่านแต่เนื้อหาจะได้ข้ามบทส่วนนี้ไปง่ายๆ ส่วนคนที่อ่านไปเรื่อยๆ ส่วนนี้ก็อาจจะให้เกร็ดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับนักแสดงและบทวิจารณ์ตัวละครไปด้วยเลย )
ผู้กำกับ Christopher Nolan แม้ไม่ใช่นักแสดง แต่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้ ตอนแรกที่ได้ยินชื่อก็คุ้นๆว่า คนนี้ต้องเคยกำกับหนังที่เราเคยดูมาก่อนแน่ๆเลย ซึ่งก็จริง เรื่องล่าสุดที่กำกับไปก็ dark knight ที่ขึ้นเท่นหนังดีไปเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าฝีมือกำกับและ produce เค้าดีจริงๆ ปกติจะไม่ค่อยได้สนใจว่าใครกำกับเวลาเลือกดูหนัง แต่หลังเห็นฝีมือพี่แกแล้ว คงต้องติดตามไปเรื่อยๆแล้วล่ะ ( ปัจจุบันคนที่ติดตามอยู่ก็มี Woody Allen คอหนังอินดี้คงรู้จักกัน, Steven Spielberg ที่ช่วงหลังๆจะแค่ produce และก็ดูฝีมือไม่อลังการเหมือนเก่า แต่ก็ยังหวังว่าจะสร้างหนังปรากฎการณ์ออกมาสู่ตลาดบ้าง, Jerry Bruckheimer ว่าจะถอดออกจากผังการเฝ้าติดตามแล้ว เพราะช่วงที่ผ่านมา ฝีมือขึ้นๆลงๆ อาจจะเพราะหนังถูกจำกัดขอบเขตบางอย่าง เลยปล่อยออกมาไม่ได้เต็มที่—อยากทำงานกับดิสนีย์ พี่ก็ต้องทำใจหน่อยนะ เพราะหนังให้เด็กดูนี่นา )
ลุง Leonardo DiCaprio ฝีมือการแสดงของเค้าเจ๋งจริงๆนะ ถ้าไม่คิดว่าลุงเค้าแก่มากแล้วจนบางทีก็อยากแนะนำให้เจียดเวลาสนใน global warming มาสนใจผิวหน้าตัวเองบ้าง คงไม่ทำให้โลกร้อนขึ้นกว่าเดิมมากเท่าไหร่ ในเรื่องนี้ การแสดงออกทางสีหน้าและหน้าตาถือว่าดีเยี่ยม ลองคิดว่าถ้าเอาทอม ครูซมาเล่น คงไม่อินเท่าไหร่ เพราะพี่ทอมคงยิ้มเตี้ยๆไปเรื่อยๆตลอดเรื่องตามประสาพี่เค้าอ่ะนะ และอาจจะเพราะช่วงหลังๆบทที่ลีโอฯ ได้มีแต่บทแนวนี้ ตั้งแต่ aviator ล่าสุดก็ shutter island ตอนดูในโรงนี่ลุ้นแทบแย่ว่าตอนจบของเรื่องจะโดนหักหลังเหมือนตอนดู shutter island รึเปล่า ปรากฎว่าไม่...โชคดีไป ไม่รู้ว่าเรื่องหน้าจะออกมาแบบไหนเหมือนกันนะ
Ellen Page หนังเรื่องแรกที่เห็น Page คือ เรื่อง x-men III ซึ่งคาดว่าหลายคนอาจจะจำเธอไม่ค่อยได้ เพราะไม่เด่นเท่ากล้ามของพี่ hugh Jackman เขา ใครอยากรู้ว่า page แสดงเป็นใครให้ลองไปค้นหาดูเอาเอง รับรองว่าไม่ยาก เพราะเธอไม่ใช่แค่นักแสดงรับเชิญกิ๊กก๊อกที่วิ่งผ่านไปผ่านมา แต่เรื่องที่หลายคนคงจำได้ คือเรื่อง Juno ใครได้ดูคงจำได้แน่ๆ ซึ่งคาดว่าคนที่ชอบเกาะกระแสออสการ์คงได้ดู เพราะ page เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำจากเรื่องนี้ด้วย แม้จะพลาดไปก็ตาม สำหรับเรื่องนี้ page เปลี่ยนบทบาทให้ตัวเองดูโตขึ้นมาหน่อยนึง แต่บางทีก็ขัดใจนิดๆที่บางมุมยังรู้สึกเหมือนเธอยังมีกลิ่นอายของJunoอยู่ หรืออาจจะเป็นเพราะมันคือลักษณะการพูดและท่าทางของเธอเองก็ได้มั้ง ผู้กำกับเลือกให้ตัวละคร Adriani (page ในเรื่อง ) เป็นคนกำความลับของพระเอกไว้ ซึ่งจากตัวละครในหนังก็ดูเหมาะสมที่สุด เพราะการให้เด็กผู้หญิงเป็นคนรู้เรื่องทุกอย่างดูซอฟต์กว่าและดูไม่เคอะเขินเท่าไหร่หากพระเอกต้องเล่าชีวิตเรื่องราวแสนเศร้าของเขากับภรรยาให้ฟัง
Joseph- Gordon levitt ขอกรี๊ดให้ 3 ทีดังๆ ด้วยความชอบคนนี้เป็นการส่วนตัว คาดว่าหลายคนอาจจะคุ้นหน้าบ้าง แต่ไม่ได้โดดเด่นจนเป็นนักแสดงแถวหน้าในหนังโรงฮอลลีวู้ดเท่าไหร่ เพราะพี่เค้าเลือกแสดงแต่หนังที่เห็นว่าบทดีเท่านั้น ไม่ได้แสดงกราดไปทั่ว งานแสดงเลยออกมาไม่เยอะ และส่วนใหญ่ที่แสดงก็เป็นหนังอินดี้กว่าครึ่ง ใครไม่ได้ชื่นชอบจริงๆหรือติดตามจริงๆคงไม่ได้ไปขวนขวายหามาดู บทบาทเรื่องนี้ของพี่เขาออกแนวตลกลึกๆ เป็นตัวสร้างสีสันให้หนังที่เครียดๆ คอยหยอดอารมณ์ตลกไปเรื่อยๆคู่กับตัวละครอีกตัวที่ชื่ออีมส์ แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่า หากใครอ่านถึงตรงนี้แล้วจะเข้าไปหาความตลกจากตัวละครในเรื่องนี้ ขอให้ถอยออกมาจากการต่อแถวซื้อตั๋วหนังด่วน เพราะมันมันไม่ใช่ ถึงแม้จะพูดเรื่องความตลกบ่อยๆ แต่เนื้อเรื่องไม่ใช่อย่างนั้นเลย ที่เขียนถึงบ่อยๆเพราะเห็นว่าหนังยังเก็บเอาส่วนต่างๆที่ควรเป็นอารมณ์ของหนังมาได้ครบถ้วนดีเท่านั้นเอง อ่ะ กลับมาต่อ ตัวละครที่พี่เค้าเล่นชื่อว่า Auther ดูเป็นคู่หูพระเอกมาแต่ไหนแต่ไร อาจจะดูเป็นตัวละครลึกลับ ไม่รู้ว่าเรียนอะไรมา หรือทำงานเป็นอะไรกันแน่ ดูไร้จุดประสงค์ที่ชัดเจนเหมือนตัวละครอื่นๆ แต่ก็เป็นตัวละครที่หลายคนชอบได้ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆของเรื่อง ขอบอกว่าเท่ห์มากกกกกกกก ไม่บอกละกันว่าทำอะไร แต่ดูแล้วใครไม่ชอบฉากนั้น ให้มาเตะคนเขียนได้ ( บอกว่าไม่ชอบนะ ไม่รวมความรู้สึกแบบ เฉยๆ แล้วไงนะ )
Kick-ass
หนังตลกดี ที่บางทีเหมือน Kill-Bill ไปหน่อย ตอนแรกที่เห็นยังงงว่า เอ๊ ทำไมหนังเรื่องนี้ได้ rate 18+ ล่ะ มันก็ดูเป็นเหมือนนังการ์ตูนบ้าๆบอๆนี่นา ดูเข้าจริงๆถึงเข้าใจว่าทำไมได้ 18+ เพราะมันฆ่ากันทีโหดๆนี่เอง
เนื่องจากหมดแรงจากการรีวิว Inception บวกกับจำเนื้อหาเรื่องอื่นๆไม่ค่อยได้ และคิดไม่ออกด้วยว่าที่ผ่านมาดูเรื่องอะไรไปมั่ง เลยขอจบการรีวิวไว้แค่นี้ วันหลังจะมารีวิวอะไรที่สดใหม่กว่านี้ละกัน ถ้าเจียดเวลาและหาคนไปดูหนังเป็นเพื่อนได้น่ะนะ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น